เส้นทางเดินอิตาลี Sentiero Italia
ในเดือน ตุลาคม 2016 Yuri Basilicò ชายชาวอิตาลี อายุ 33 ปี ได้เดินไฮค์เพียงลำพังข้ามเกาะ Corsica ในฝรั่งเศส วันหนึ่งเขาเกิดหลงทางอยู่ในม่านหมอก Basilicò ได้ยินเสียงลาร้องมาจากระยะไกล เขาจึงตัดสินใจเดินตามเสียงลาไป เพือ่หวังว่าจะได้พบกับเส้นทางเดิน แต่แทนที่เค้าจะพบกันเส้นทาง เขากลับพบกับนักเดินป่าชาวสวีเดน 3 คน ซึ่งก็กำลังหลงทางอยู่เหมือนกัน ขณะที่ทั้งหมดรอคอยให้สภาพอากาศดีขึ้นนั้น พวกเขาก็พักทานอาหารร่วมกัน ขณะที่กำลังจะแยกย้ายกันเดินทางต่อ หนึ่งในชาวสวีเดนคงจะเห็นว่า Basilicò มาจากอิตาลี ก็เลยถาม Basilicò ว่า คุณรู้จัก Sentiero Italia ไหม ? … และนั่นเป็นครั้งแรกที่ Basilicò ได้ยินชื่อนั้น
Sentiero Italia ออกเสียงว่า ซินเทียรี อิทาเลีย (แปลเป็นอังกฤษได้ว่า Trail Italy หรือในภาษาไทยก็คือ “เส้นทางเดินอิตาลี”) บางที่ก็เรียกว่า Grand Italy Trail เส้นทางนี้เป็นเส้นทางเดินลัดเลาะข้ามเทือกเขาแอลป์ แล้วผ่านคาบสมุทรอิตาลีทางจากด้านบนของแนวเทือกเขาแอเพนไนน์ (Apennines) ลงมาทางด้านล่างของอิตาลี แล้ว ข้ามไปที่เกาะ Sicily และไปจบที่ เกาะ Sardinia ถ้าดูแผนที่ด้านล่าง ก็คงจะเห็นว่าเป็นเส้นทางเดินรอบอิตาลีเลยทีเดียว ด้วยระยะทางที่ยาวถึง 7000 km ( 4350 ไมล์ ) เส้นทางเดินตัดผ่านมรดกโลก 6 แห่งที่ทางยูเนสโกรับรองและผ่านอุทยานแห่งชาติอีก15 แห่ง
Sentiero Italia นับได้ว่าเป็นเส้นทางเดินที่ยาวที่สุดแห่งหนึ่งในโลกก็ว่าได้ เพราะยาวเท่ากับ 2 เท่าของเส้นทางเดิน Appalachian Trail ในอเมริกาเลย
แผนที่แสดงเส้นทางเดิน Sentiero Italia
เมื่อ Basilcò กลับมาค้นข้อมูลก็พบข้อมูลของเส้นทางเดิน Sentiero Italia นี้แค่จากบล็อกเก่าๆที่ไม่ได้มีการอัพเดตแล้วเท่านั้น เขาเกิดความหลงใหลไปกับเส้นทางเดินที่ถูกลืมเลือนแห่งนี้ ก็เลยเริ่มชักชวนเพื่อนอีก 2 คน คือ Giacomo Riccobono และ Sara Furlanetto ไปเดินตามเส้นทางนี้กัน
“มันเป็นการเดินทางไกลที่ไม่ธรรมดา บนเส้นทางเดินที่ยาวที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเลยทีเดียว ” Basilicò กล่าว
Valbruna e Passo Pramollo (ภาพถ่ายโดย : Sara Furnaletto)
เส้นทาง Sentiero Italia ถูกสร้างขึ้นในปี 1980 โดย Riccardo Carnovalini ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งสมาคม Sentiero Italia Association (สมาคมเดินป่าอิตาลี) และชมรม Alpino Italiano (ชมรมปีนเขาอิตาลี) ซึ่งช่วยจัดหาอาสาสมัครสำหรับการก่อสร้างทาง
ชื่อของเส้นทางเดิน Sentiero Italia ก็มาจากชื่อของสมาคมนั่นเอง
แนวความคิดของ Carnovalini คือ ต้องการที่จะสร้างเส้นทางเดินระยะไกลที่ผ่านคาบสมุทรอิตาลี (แบบเดียวกับ เส้นทาง Appalachian Trail และ Pacific Crest Trail ในอเมริกา) เขาต้องการที่จะแสดงให้เห็นว่าอิตาลี ไม่ได้มีแค่พระสันตปาปา และอาหาร เท่านั้น แต่ยังเป็นประเทศที่มีภูมิทัศน์ที่งดงามและวัฒนธรรมแห่งภูเขาที่เข้มแข็งด้วย
“ระยะทางไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เพราะว่า เส้นทางนี้จะผ่านสถานที่ที่มีความโดดเด่นหลายที่ ” Carnovalini กล่าว
“อิตาลีมีมนต์สเน่ห์แห่งภูมิทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง เป็นอะไรที่พบเห็นกันไม่มากนักในส่วนอื่นของโลกใบนี้”
ในปี 1995 ระหว่างกิจกรรม Cammina Italia (เป็นงานอีเว้นต์ระดับชาติที่จัดโดยสมาคม Alpino Italiano) Carnovalini ได้เดินบนเส้นทางนี้จนครบระยะทาง โดยมีผู้คนจำนวนหลายพันคนมาร่วมด้วยเป็นระยะๆ
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่จบกิจกรรม ความสนใจบนเส้นทาง Sentiero Italia นี้ก็ค่อยๆลดน้อยลง จนเป็นเส้นทางที่ถูกทิ้งร้าง แต่มันก็เป็น ถึงแค่ปลายปีที่แล้วเท่านั้น
กลับมาที่ Basilicò ซึ่งชักชวนเพื่อน ให้ไปเดินเส้นทาง Sentiero Italia เขากับเพื่อนได้ก่อตั้งองค์กรไม่แสวงหากำไรที่ชื่อ Va’ Sentiero มาช่วยด้านค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการด้านการส่งเสบียงและอุปกรณ์ หลังจากการเตรียมการอยู่นาน 2 ปี ในวันที่ 1 พฤษภาคม ปี 2019 ทีมนักเดินภายใต้ชื่อ Va’ Sentiero ก็ลาออกจากงานประจำ และเริ่มออกเดินทาง
Riccobono ได้รับหน้าที่ให้เป็นคนดูแลด้านการจัดส่งเสบียง กล่าวว่า จุดประสงค์การของเดินทางนี้คือ การสร้าง Digital Footprint ซึ่งเป็นการเก็บข้อมูลลงบนโลกดิจิตอลของเส้นทางเดินอิตาลีขึ้น เพื่อให้ผู้สนใจคนอื่นๆ ได้เข้าถึงแหล่งข้อมูลได้ โดยการถ่ายภาพวีดีโอความละเอียดสูง , การลงข้อมูลทางอินสตาแกรม , การลงพิกัด GPS พร้อมรูปถ่าย มีการอัพเดตข้อมุลรายอาทิตย์ โดยทีมงานกำลังสานต่อปณิธานที่ Carnovalini ได้ริเริ่มไว้เมื่อ 40 ปีก่อน โดยแผนการเดินทางถูกวางไว้ในกรอบเวลา 14 เดือนยาวต่อเนื่องกัน
แต่ด้วยสภาพของฤดูหนาวที่รุนแรง และ การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ทำให้การแผนการต้องถูกยืดออกมาเป็นใช้เวลา 3 ปีแทน ซึ่งทีมงานก็เดินทางกลับบ้านในช่วงฤดูหนาว แล้วก็กลับมาเริ่มเดินต่อ โดยพวกเขาคาดว่าจะเดินจนจบเส้นทางได้ในช่วงเดือนกันยายนปี 2021
เช่นเดียวกับหลายๆที่บนโลก ในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 ชาวอิตาลีจำนวนมาก ก็หนีไปเดินป่า เดินบนภูเขา เพื่อปลดปล่อยจากความอัดอั้นจากโรคระบาด ในจำนวนนี้ก็มีหลายคนที่ไปร่วมขบวนเดินกับ Basilicò ด้วย บางคนก็ไปร่วมด้วยไม่กี่วัน บางคนเป็นอาทิตย์ และบางคนก็อยู่เป็นเดือน … ในขณะที่ทีมเดินทางไปเรื่อยๆ ก็มีคนมาร่วมด้วยเพิ่มขึ้นเช่นกัน ต้องขอบคุณโซเชียลมีเดียที่ทำให้กลุ่มเติบโตขึ้นทุกอาทิตย์ บางวัน มีคนมาร่วมเดินป็น 100 คน เลยทีเดียว
พวกเขาลงข้อมูลอย่างละเอียด จุดที่หยุดพัก แผนการเดินทาง ความยากง่ายของแต่ละส่วนของเส้นทางบนเว็บไซด์ เชิญชวนผู้ติดตามให้มาร่วมเดินด้วยกัน แต่ละคนก็สามารถลงทะเบียนบนเว็บไซด์ มาเจอกันที่จุดนัดพบ หรือ อยู่ๆมาร่วมเลยก็มี มีบางคนก็มาเข้าร่วมเดินกับทีมโดยอยู่ด้วยกัน 2เดือนครึ่งเลยทีเดียว และจนถึงตอนนี้ก็มีคนที่มาร่วมเดินด้วยกันราว 1500 คน
Basilicò เป็นคนไม่ค่อยชอบคนเยอะ ตอนแรกเขาก็รู้สึกกังวลใจกับการที่ต้องไปเดินกับคนที่เค้าไม่รู้จักมักคุ้น นี่ยังไม่รวมถึงการบริหารจัดการเสบียงของคนกลุ่มใหญ่อีก แต่เมื่อวันแรกได้ผ่านไป เค้าก็รู้ได้เลยว่า การเดินเทรลมันเป็นสิ่งที่ทำหน้าที่เหมือนเป็นตัวกรองที่คัดกลุ่มนักเดินทางที่มีความรักความสนใจในภูเขาเหมือนกับที่เขาเป็น และคนกลุ่มนี้ก็ดูแลตัวเองได้
“มิตรภาพและความรักมากมายก่อตัวขึ้น” Basilicò กล่าว เขาบรรยายถึงผู้คนที่เค้าได้พบเจอราวกับเป็นของขวัญที่มีค่าจากการเดินทางนี้
ในเดือนสิงหาคมปี 2019 Roberto Cirillo นักวิเคราะห์ตลาดอายุ 33 ปี ตัดสินใจที่จะใช้เวลาช่วงวันหยุดฤดูร้อนของเขากับกลุ่มในการเดินทางข้ามเทือกเขาแอลป์ “การได้เดินทางร่วมกัน เป็นสิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้ และมันสนุกมากๆ” Cirillo กล่าว พวกเขาทานอาหารกับชาวบ้าน และดื่มไวน์ทำเองในท้องถิ่น “พวกเราช่วยฟื้นการติดต่อกับโลกภายนอกให้กับคนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกล”
Costanza Brini, อาชีพครูสอนหนังสือ อายุ 27 ปี ก็มาร่วมเดินด้วย ตอนแรกก็ 1 อาทิตย์ และหลังจากนั้นก็ตามมาร่วมด้วยอีก 2 ครั้ง เขาเห็นด้วยกับ Cirillo และกล่าวเตือนด้วยว่า “นี่ไม่ใช่ทัวร์เป็นระบบ ทุกคนมีอิสระและทุกคนที่เข้าร่วมสามารถตัดสินใจเองได้เลยว่า พวกเขาจะนอนค้างคืนที่ไหน อาจจะเป็นโรงยิม กระท่อมภูเขา หรือ โรงแรม บ่อยครั้งที่ชาวบ้านแต่ละท้องถิ่นช่วยหาที่พักให้ … แต่บอกได้ว่า มันไม่ใช่ทางเดินที่ง่าย อาจจะเจอลมแรงแบบไม่คาดคิดบนเทือกเขา Apennines การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศแบบทันทีทันใด ตัวหมัดจำนวนมากในแถบแอลป์ตะวันออก ซึ่งในตอนแรกทีม Va’ Sentiero ก็เจอปัญหาจากการไร้ประสบการณ์ ความเหนื่อยล้าทางใจที่เกิดจากการเดินทางติดต่อกันยาวนานหลายๆเดือนเช่นกัน
Foschia ai piedi del Monviso (ภาพถ่ายโดย: Sara Furnaletto)
Basilicò ไม่ได้มองว่า Va’ Sentiero เป็นเหมือนการเดินทางแบบสุดโต่ง แต่มองเหมือนเป็นสัญลักษณ์แห่งการรวมความเป็นอิตาลี และช่วยให้ประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจแก่ชุมชนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล เช่น ที่เมือง Codera ซึ่งเป็นชุมชมในเทือกเขาแอลป์ ที่อยู่ชายขอบด้าน สวิตเซอร์แลนด์ เมืองนี้เข้าถึงได้ด้วยการเดิน 2 ชั่วโมง ในปี 1993 Codera มีคนอยู่มากกว่า 500 คน แต่ในปัจจุบันมีคนอยู่แค่หยิบมือเท่านั้น
ทีม Va’ Sentiero เริ่มที่จะมีผลลัพธ์อะไรบางอย่างออกมา ผู้ติดตามที่มาเดินเส้นทางเดินนี้ พบกับคู่สามีภรรยา Antonio กับ Stefania ที่ตัดสินใจมาเปิดฟาร์มในพื้นที่ห่างไกล พวกเขาคือตัวอย่างของธุรกิจที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นคืนของเส้นทางเดินอิตาลี จากการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน Riccobono กล่าว
ในปี 2019 Centro Alpino Italiano เริ่มต้นปรับปรุงเส้นทางเดินอิตาลีนี้ ในขณะที่มีหลายส่วนบนเส้นทางที่ผ่านเทือกเขาแอลป์ มีป้ายบอกทางอย่างชัดเจน ก็ยังมีอีกหลายส่วนของอิตาลีตอนใต้ที่ไม่มีเส้นทาง อย่างไรก็่ตาม ในไม่ช้าเส้นทางเดินทั้งหมดจะเชื่อมต่อกันและมีป้ายบอกทางที่ชัดเจน
“เส้นทางนี้บอกให้เรามองไปในส่วนที่ไม่มีใครรู้จักในอิตาลี ซึ่งยังคงรักษาเอกลักษณ์ซึ่งสูญหายไปจากส่วนอื่นของประเทศ” Basilicò กล่าว
ในปีนี้ ทีม Va’ Sentiero เริ่มกลับมาเดินต่อ เมื่อเดือนเมษายน 2021 และจะข้ามผ่านปลายด้านล่างของอิตาลี เข้าไปที่เกาะ Sicily และไปจบการเดินทางที่ Sardinia ในเดือนกันยายนนี้ Basilicò คาดหวังว่าจะมีคนมาร่วมอีกหลายร้อยคนในช่วงสุดท้ายของการเดินทาง และหวังว่าผู้คนอีกหลายพันคนจะได้มีโอกาสมาเดินที่เส้นทางนี้ โดยใช้ข้อมูลที่พวกเขารวบรวมไว้ให้
ตัวอย่างแผนที่ที่ทีมงานทำไว้ ละเอียดมาก
หากท่านใดสนใจเส้นทาง Sentiero Italia นี้ก็สามารถหาข้อมูลได้ที่ เว็บไซด์ www.sentieroitalia.cai.it มีข้อมูลการเดินทางโดยละเอียดให้ศึกษา แต่เป็นภาษาอิตาลีนะครับ
เครดิต
แปลจากบทความเรื่อง Hundreds of People Are Section-Hiking the AT of Italy โดย Agostino Petroni