เรื่องของ Kyle กับ Katana
สำหรับบ้านเราการพาสุนัขไปเดินป่าด้วยอาจจะเป็นเรื่องทีแปลกอยู่บ้าง แต่ในต่างประเทศก็ถือเป็นเรื่องปกติทั่วไปครับ และเรื่องที่ผมจะเอามาเล่าให้ฟังในวันนี้ก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคู่หูนักเดินป่า คนกับสุนัข คือ คุณ KYLE ROHRIG กับ สุนัขเพศเมีย พันธ์ชิบะอินุ ที่ชื่อว่า คาตานะ ครับ
คาตานะ กับผม … เราเริ่มเดินป่ากันที่ Appalachian Trail (3500 km) เมือปี ค.ศ. 2014 ซึ่งตอนนั้นผมอายุ 24 ส่วนเธออายุได้ 3 ปี
ผ่านไป 2 ปี ในปี ค.ศ. 2016 ด้วยความชื่นชอบในการเดินป่า ผมก็พาเธอไปเดินที่ Pacific Crest Trail (4270 km) กันต่อ และในระหว่างเดินที่นี่นั่นเองที่ คาตานะ เริ่มมีอาการของการเป็นต้อหิน ซึ่งทำให้ตาข้างซ้ายของเธอบอดหลังจากที่เริ่มมีอาการได้ 36 ชั่วโมง เมื่อสุนัขสูญเสียการมองเห็นจากการเป็นต้อหิน เนื่องจากแรงดันที่เกิดจากการเป็นต้อจะทำให้เกิดอาการปวดในระดับเดียวกับไมเกรนแบบรุนแรง และวิธีการปกติที่ทำกันคือ ผ่าตัดเอาลูกตาออก
โดยหลังจากที่เราเดินกันมาได้ประมาณ 1300 km คาตานะก็ต้องกลับบ้านเพื่อไปผ่าตัดเอาลูกตาซ้ายออก … หลายอาทิตย์หลังจากนั้น หมอก็ยอมให้เธอออกมาทำกิจกรรมได้เต็มที่ เธอกลับมาเจอกับผมบนเส้นทางเดินป่า เพื่อเดินในระยะทางที่เหลืออีก 800 km ผมกับ เธอซึ่งเหลือตาข้างเดียว เราเดินไปด้วยกันจนจบเส้นทาง Pacific Crest Trail
2 ปีถัดมา ในปี 2018 หลังจากที่เราไปเดินป่าด้วยกันอีกหลายที่ ต้อหินก็เริ่มเป็นที่ตาข้างขวาของเธอด้วย ผมรู้ดีว่าเป็นเรื่องของเวลาเท่านั้น ไม่ช้าก็เร็วตาอีกข้างของเธอก็จะบอดอีก และตอนนั้นเธอก็จะมองไม่เห็นอีกเลย แต่ผมก็ยังหวังว่าเราจะมีเวลาอีกซักหลายปี เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่ต้อขึ้นเต็มที่ เราก็จำเป็นต้องเอาตาขวาของเธอออก คาตานะก็จะกลายเป็นสุนัขที่ไม่มีตาเลย
หลังจากการผ่าตัด คาตานะ กลายเป็นสุนัขตาบอด ผมรู้สึกเศร้าใจมากที่ต้องเห็นเธอมองไม่เห็น การที่ไม่มีตาดูจะเป็นตลกร้ายสำหรับสุนัขที่ได้เดินทางท่องเที่ยวไปทั่วมากกว่าคนส่วนใหญ่หลายๆ คนเสียด้วยซ้ำ และดูเหมือนว่าความมั่นใจของเธอจะได้รับผลกระทบมาก เธอเริ่มไม่มั่นใจในตัวเอง การเคลื่อนที่แต่ละครั้งเธอระมัดระวังมาก
บางครั้งผมมองดูเธอใช้เวลาหลายนาทีในการรวบรวมความกล้าเพื่อจะกระโดดลงจากโซฟาหรือเตียง หรือการข้ามสิ่งกีดขวางเพื่อเข้าออก ผมรู้สึกปวดใจที่ได้เห็นเพื่อนคู่หูที่เดินทางร่วมกันมาหลายพันกิโลเมตร ผ่านอุปสรรคร่วมกันมามากมาย ไม่มีความมั่นใจแม้แต่จะเดินออกจากห้องนั่งเล่น
ผมพยายามทำงานร่วมกับคาตานะ โดยการฝึกคำสั่ง เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับเธอ รวมถึงการสำรวจสิ่งรอบตัวด้วยตัวเธอเอง … เธอเริ่มดีขึ้น … แต่มันก็ดูจะขึ้นๆ ลงๆ ผมอยากให้เธอกลับมามีความมั่นใจเหมือนเดิมหรือใกล้เคียงกับก่อนที่เธอจะสูญเสียการมองเห็นไป ผมคิดว่าเราต้องการอะไรที่มากกว่าการฝึกตามคำสั่งและการเดินอยู่รอบๆบ้าน ผมต้องการพาเธอกลับเข้าไปบนเทรล
ผมดูเส้นทางเดิน Florida Trail มาได้ 2-3 ปีแล้ว แต่ก็ยังไม่เคยคิดจะวางแผนไปอย่างเป็นทางการ แต่หลังจากที่คาตานะตาบอด เส้นทางเดินนี้ดูจะเป็นเส้นทางเดินที่เหมาะมากสำหรับการฝึกเธอ เพราะทางเดินแทบจะเป็นทางราบทั้งหมด สามารถเดินได้แม้ในช่วงฤดูหนาว ทำให้ไม่มีกรอบเวลาในการเดินทางให้ถึงปลายทาง และใช้เวลาแค่ 2-3 เดือนในการเดินจนจบเส้นทาง อีกอย่างคือมันอยู่ไม่ไกลจากเพื่อนหรือครอบครัวของเรา แค่ขับรถไม่กี่ชั่วโมง เผื่อกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน
การพาคาตานะที่เพิ่งตาบอดสนิททั้ง 2 ข้าง ไปเดินที่ Florida Trail มีความเสี่ยงอยู่ ผมเรียกมันว่าเป็น การบำบัดแบบเอาตัวเข้าไปอยู่ในสภาพแวดล้อม ในฐานะที่ตัวผมเองเป็นอดีตเทรนเนอร์นักกีฬา ผมคุ้นเคยกับ การใช้หลักการ SAID (Specific Adaptations to Imposed Demands) ซึ่งเป็นการฝึกที่ให้ร่างกายและจิตใจปรับตัวให้เข้ากับสิ่งที่ต้องเจอได้ คุณแค่ต้องรู้ว่าจะใส่อะไรเข้าไป มากน้อยอย่างไร และบ่อยแค่ไหน
ในกรณีของคาตานะ เพื่อที่จะให้เธอประสบความสำเร็จในการอยู่กับสภาวะตาบอดได้ เธอจำเป็นต้องอยู่กับอาการตาบอดให้ได้ เพื่อให้เธอใช้ศักยะภาพที่มีอย่างเต็มที่ เธอต้องฝึกฝนแบบเต็มเวลา ในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆ
คาตานะ เธอจำแผนผังของบ้าน และใช้ชีวิตอยู่ในสภาพที่คุ้นเคยอย่างน้้นไปตลอดอายุของเธอก็ได้ แต่เธอก็จะเรียนรู้แค่ทิศทาง ตำแหน่งในที่เดียว ซึ่งผมเชื่อว่าชีวิตของเราไม่เป็นแบบนั้น ผมเชื่อว่าเราทั้งคู่ต้องการมากกว่านั้น คือการไปที่ไหนก็ได้ และเพื่อการนั้น เธอต้องมีความมั่นใจและประสบการณ์ซึ่งเราไม่สามารถจะหาได้จากการฝึกแค่วันละไม่กี่ชั่วโมงที่บ้าน เราต้องอยู่กับมันตลอด 24 ชั่วโมง 7 วันต่อสัปดาห์ และไม่มีอะไรอย่างอื่นที่ดีไปกว่าการออกไปเดินเทรลระยะไกลด้วยกัน
การที่ผมพาคาตานะที่เพิ่งตาบอดไปเดิน Thru-hike (การเดินป่าระยะไกล) ก็เหมือนกับการพาเด็กที่ยังว่ายน้ำไม่เป็นไปว่ายน้ำในสระน้ำลึก ถ้าพวกเขาว่ายไม่ได้ ก็จะจม แต่แน่นอนว่าผมอยู่เพื่อไม่ให้เธอจม ความทุ่มเทจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและเกิดการปรับตัวขึ้น เรากินนอน กับอาการตาบอดมานานหลายเดือน สิ่งที่เราขาดก็คือการหายใจเข้าออกด้วยความอยาก นักกีฬาโอลิมปิค ไม่ได้ไปอยู่ตรงนั้นเพราะพวกเขาเป็นมืออาชีพ แต่พวกเขาไปตรงนั้นได้ เพราะ กิน นอน และหายใจเข้าออกเป็นความอยาก … ซึ่งหลักการนี้ก็สามารถใช้ได้กับทุกอย่างในชีวิต ไม่ใช่แค่การกีฬาเท่านั้น
ลึกๆในใจผม ผมรู้ดีว่า ถ้าเธอออกไปอยู่ข้างนอกนั่น เธอจะทำมันได้ดีอย่างแน่นอน … แต่ผมนึกไม่ถึงมาก่อนเลยว่า … เธอจะทำได้ดีขนาดนี้
ในการเดินที่ Florida Trail นี้ มีหลายครั้งที่ยากลำบาก เมื่อเทียบกับเส้นทางเดินระยะไกลอื่นที่เราเคยเดินมา ที่นี่ทางเดินค่อนข้างจะราบเรียบ แต่ก็ถือว่าลำบากแม้ว่าคุณจะไม่มีสุนัขไปด้วยเลย หรือมีสุนัขที่สายตาดีไปด้วย แน่นอนว่ามันลำบากมากขึ้นเมื่อคุณไปกับสุนัขที่ตาบอดสนิท แต่มันก็ช่วยทดสอบความมุ่งมั่น ความอดทนของเราได้เป็นอย่างดี
เส้นทางเดินนี้เริ่มที่ Big Cypress ใน Everglades ทางตะวันตกของไมอามี่ ทางใต้ของฟลอริด้า จากตรงนั้นจะเป็นทางเดินขึ้นเหนือไปทางตะวันตกอีก 1770 km เราเริ่มออกเดินเมื่อวันที่ 2 มกราคม และจบในวันที่ 22 มีนาคม ใช้เวลาไป 73 วัน ในการเดินทาง 1770 km ซึ่งก็เเป็นไปตามการคาดการณ์ของผม เพราะเมื่อพิจารณาสภาพของคาตานะ เราก็คาดว่าจะใช้เวลาซัก 2-3 เดือน
คาตานะเธอทำได้ดีมาก เธอชอบทุกวินาทีที่มีอิสระ และได้ออกไปสำรวจสถานณ์ที่ใหม่ๆ ทุกวัน คาตานะเดินด้วยตัวเธอเองเป็นระยะทางประมาณ 320 km ในขณะที่อีก 1400 km กว่าผมแบกเธอไป โชดดีที่เธอเป็นสุนัขขนาดไม่ใหญ่ ที่หนักแค่ 9 Kg ผมให้เธอนั่งอยู่ด้านบนกระเป๋าและไหล่ เธอสามารถอยู่บนนั้นได้เป็นระยะทางหลายกิโลเมตร เสมือนหนึ่งว่ากำลังนอนอยู่บนโซฟาที่บ้านเลย
เส้นทางเดินนี้สำหรับบางคนอาจจะเรียกได้ว่าเป็นฝันร้ายเลยก็ว่าได้ เพราะว่ามัน ทั้งเปียก เต็มไปด้วยโคลน และมีแมลงชุกชุม เราต้องเดินย่ำโคลน ผ่านหนองน้ำเป็นระยะทางหลายกิโลเมตร บางทีจมไปถึงเอว และมีหลายครั้งที่สภาพทางเดินไม่เหมาะกับกับสุนัขที่ตาบอด ไม่ว่าจะเป็นสภาพที่เป็น หนองน้ำ น้ำลึก จระเข้ งู เส้นทางเดินเลียบทางรถด่วน หรือเส้นทางเดินที่รกทึบ
คาตานะได้เดินด้วยตัวเธอเองทุกวัน ตราบเท่าที่สภาพทางเดินอำนวยให้ทำได้ แม้ว่าบางทีจะเป็นระยะทางแค่ 2-3 km มีอยู่หลายวันที่เธอได้เดินต่อเนื่องวันละ 6-8 km และบางวันเธอก็เดินได้มากกว่า 15 km โดยที่ผมไม่ต้องอุ้มเธอเดินเลย ถ้าทางเดินดีกว่านี้ ผมเชื่อว่าเธอคงเดินได้ด้วยตัวเองอีกมาก
เห็นเธอทำได้ดีอย่างนี้ผมก็ปลาบปลื้มใจ เธอเดินได้เหมือนกับเมื่อก่อนที่เราเคยเดินด้วยกัน จนบางทีผมก็ไม่คิดว่าเธอตาบอดเสียด้วยซ้ำ เธอคอยเดินนำหน้าผมเหมือนเดิม ผมไม่รู้ว่าเธอทำได้ยังไง แต่เธอเดินนำผมไปได้ถูกทาง โดยไม่ชนสิ่งกีดขวาง รวมถึงพาผมเดินลดเลี้ยวไปตามทางเดินได้ ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ
คาตานะเปลี่ยนจากระมัดระวังและไม่กล้า กลายเป็น มีความมั่นใจและอยากรู้อยากเห็น เมื่อไหร่ก็ตามที่เราหยุดตั้งแค้มป์ เธอก็จะออกไปสำรวจพื้นที่รอบๆ ผมบอกได้เลยว่าแผนการที่จะพาเธอออกมา ประสบความสำเร็จอย่างดี ช่วยให้เธอที่ต้องตาบอดไปตลอดชีวิต มีความมั่นใจมากขึ้น
สิ่งที่ผมต้องการจากการพาเธอมาเดินครั้งนี้ ก็คืออยากให้เธอกลับมาเป็นตัวเธอเอง เหมือนก่อนที่จะสูญเสียการมองเห็นไป ซึ่งตอนที่เราเดินจนจบ 1770 km ผมบอกได้เลยว่า เราประสบความสำเร็จมาก เธอกลับมาเป็นตัวเธอเหมือนก่อนที่เธอจะเสียการมองเห็นไป เธอสามารถวิ่งผ่านเข้าออกบ้าน โดยไม่ลังเล เธอหาตำแหน่งประตูสุนัขหลายบานผ่านเข้าออกสวนกับบ้านได้ และโดดขึ้นลงจากโซฟาหรือเตียงได้อย่างไม่ลังเล
ก่อนที่ผมจะพาเธอไปเดิน ตอนที่เธอพลาด หรือชนกับอะไรบางอย่าง เธอจะหยุด และก็เลิกทำสิ่งที่เธอทำอยู่ ตอนนี้เวลาเธอทำพลาดหรือชนเข้ากับอะไร เธอแทบจะไม่สนใจมันเลย เธอกลับมาเป็นเธอคนเดิมอีกครั้ง ผมมีความสุขและภาคภูมิใจมาก
ผมอยากจะฝากไว้เป็นประสบการณ์แก่ทุกท่าน ว่า
ใครอยากติดตามเรื่องราวและดูภาพน่ารักๆ ของทั้งคู่ สามารถดูได้จาก website boundlessroamad.com และ Instagram
ขอบคุณบทความจาก thetrek.co
ต้นฉบับ https://thetrek.co/thru-hiking-1100-mile-florida-trail-blind-dog/